เพลงกล่อมเด็กพื้นบ้าน
ภูมิหลังของ “ เพลงกล่อมเด็ก ” จากผู้สนใจหลายๆท่านที่เห็นความสำคัญและนำมารวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับบทเพลงกล่อมเด็กไว้ สันนิษฐานกันว่า การกล่อมเด็กน่าจะกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่มีภาษาพูด แต่คงเห่กล่อมกันด้วยกริยาท่าทาง การโอบอุ้มทะนุถนอม และออกเสียงอือๆออๆ ต่อมาเสียงนั้นคงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ คล้ายเสียงดนตรี จนในที่สุดเมื่อมีภาษาพูด จึงเริ่มมีเนื้อหาง่ายๆ เกิดขึ้น
ส่วนที่เริ่มมีการขับกล่อมเป็นบทเนื้อร้อง ก็ไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จึงยากแก่การสืบค้นหาว่ามีที่มาอย่างไร หรือเริ่มตั้งแต่สมัยใด
ธรรมชาติของเด็กจะเริ่มมีปฏิกิริยารับรู้ความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก ความรักในที่นี้ มิได้หมายถึงการเอาใจใส่ เลี้ยงดูทางด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงด้านจิตใจด้วย เด็กจะรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของพ่อแม่ การเอาใจใส่ดูแลด้วยความรัก ความทะนุถนอมนี้เอง น่าจะเป็นที่มาของเพลงกล่อมเด็ก
วิธีการร้อง และประเภทของเพลงกล่อมเด็ก
วิธีการร้องเพลงกล่อม ในชั้นแรกคนคงไม่ได้คิดถึงเรื่องจังหวะและทำนอง มากไปกว่ามุ่งทำสุ้มเสียงเพื่อให้สอดคล้องกับจินตนาการ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเวลาที่ร้อง ถ้าเพลงใดฟังดูเนื้อร้องง่ายๆ น่าสนใจก็จะมีคนนำมาร้องกันมาก และจดจำกันได้มาก ทำนองและเนื้อร้องเพียงให้คล้องจองกันไป มีสั้นบ้าง ยาวบ้างเป็นคำไทยแท้แบบพื้นบ้าน ฟังเข้าใจง่ายไม่มีศัพท์ยาก เป็นการร้องแบบพูดไปเรื่อยๆ การร้องบางบทจึงดูไม่ราบเรียบ มีสะดุดเป็นตอนๆ มุ่งเพียงให้เด็กเพลิดเพลินจำได้ง่ายมากกว่าจะมุ่งแสดงความไพเราะ การร้องกลอนกล่อมเด็กเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วย “ โอ ” และลงท้ายด้วย “ เอย ”
ประเภทเพลงกล่อมเด็ก พอจะจัดเนื้อหาแบ่งออกได้เป็น ๕ ประเภท ดังนี้
๑. บทกล่อมประเภทแสดงความรัก ความผูกพันระหว่างแม่กับลูก
๒. บทกล่อมประเภททางสังคม สื่อในการอบรมสั่งสอน และมีคติธรรม
๓. บทกล่อมประเภทสื่อด้านธรรมชาติใกล้ตัว เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ และสัตว์ รวมถึงวิถีชีวิต
๔. บทกล่อมประเภทที่ผูกเรื่องขึ้นเกี่ยวกับศาสนา และวรรณคดี
๕. บทกล่อมประเภทที่ผูกเรื่องจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
เนื้อหาของบทกล่อมเด็กแต่ละประเภท
๑. บทกล่อมประเภทที่สื่อถึงความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งแสดงได้หลายอย่าง
- แสดงความรักเอ็นดูในลักษณะท่าทาง และความสมบูรณ์ เจ้าเนื้อ ผิวพรรณอ่อนละมุน ดังเช่น
๑. บทกล่อมประเภทที่สื่อถึงความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งแสดงได้หลายอย่าง
- แสดงความรักเอ็นดูในลักษณะท่าทาง และความสมบูรณ์ เจ้าเนื้อ ผิวพรรณอ่อนละมุน ดังเช่น

“ เจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม
แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย ”
แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย ”
- แสดงความรักของพ่อ แม่ที่รักและห่วงใยลูก ซึ่งไม่ใช่สายโลหิตของตนดังเช่น
“ เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร
คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน
ถนอมไว้ในรังนอน ป้อนเหยื่อมาให้กิน ฯลฯ
แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร
คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน
ถนอมไว้ในรังนอน ป้อนเหยื่อมาให้กิน ฯลฯ
๒. บทกล่อมประเภทสื่อด้านสังคม การอบรมสั่งสอน สอดแทรกคติธรรม ดังเช่น
“ เจ้าบุญประเสริฐเอย เกิดในดอกจำปี
แม่เลี้ยงเจ้าไว้หมายว่าจะฝากผี พ่อทองดีของแม่เอย ”
๓. บทกล่อมประเภทสื่อในด้านธรรมชาติใกล้ตัว เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ และสัตว์ต่างๆ ดังเช่น
“ นกเขาเอย ขันแต่เช้าจนเที่ยง
สุริยาบ่ายเบี่ยง เที่ยงแล้วจงนอนเปลเอย ”
บทกล่อมที่ใช้กับเด็กที่ซุกซนไม่ยอมนอน จึงต้องกล่อมไปขู่ไปโดยใช้สัตว์มาประกอบ

งูเขียวตัวน้อย ห้อยหัวลงมา
เด็กนอนไม่หลับ กินตับเสียเถิดหวา
อ้ายตุ๊กแกเอย
๔. บทกล่อมที่ผูกเรื่องขึ้นเกี่ยวกับศาสนาและวรรณคดี หรือยกเอาตัวละครในวรรณคดีมากล่าว ดังเช่น

“ ไกลเอ๋ยไกรทอง มีเมียทั้งสองก็รักไม่เสมอกัน
รักเมียหลวงเท่าท่อนอ้อย รักเมียน้อยเท่าท่อนจันทร์
รักก็ไม่เสมอกัน เป็นเช่นนั้นนะแม่นา "
๕. บทกล่อมที่กล่าวถึงเหตุการณ์หรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์
“ วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีตาลโตนดอยู่เจ็ดต้น
พ่อขุนทองไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา
เมียคดข้าวใส่ห่อ ถ่อเรือไปหา ฯลฯ
คุณค่าที่ได้รับจากเพลงกล่อมเด็ก
จากเนื้อหาของเพลงกล่อมเด็กทั้ง ๕ ประเภท แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในด้านต่างๆ ดังนี้
๑. คุณค่าในการถ่ายทอดความรักความอบอุ่นของพ่อ แม่ ที่มีต่อลูก ด้วยการสัมผัสผ่านทางด้านร่างกายขณะที่อุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน และเสียงร้องของแม่ ที่ส่งถึงลูก ทำให้เด็กมีความสุข ความอบอุ่นส่งผลให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดี มีจิตใจที่อ่อนโยน
๒. คุณค่าของเนื้อหาในบทกล่อมเด็ก แสดงให้เห็นถึงการใช้ภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษรุ่น ปู่ ยา ตา ยาย ของเราในสมัยก่อน ที่ไม่ได้มีการเล่าเรียนหนังสือ แต่ท่านใช้ความรักที่มีต่อลูกหลาน สังเกตอากัปกิริยาท่าทาง ความต้องการของเด็กทารก ที่ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน โดยใช้สิ่งที่เห็นที่รู้จากวิถีชีวิตและธรรมชาติรอบตัวมาคิดเป็นบทกล่อม นับว่ามีคุณค่ายิ่ง
๓. คุณค่าที่เป็นมรดกอย่างหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ แสดงออกถึงความสามารถ ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ในเชิงวรรณศิลป์ สะท้อนให้เห็นความถึงความเจริญของสังคมไทยที่เป็นมาในทางประวัติศาสตร์
ด้านภูมิปัญญา
๑. ภูมิปัญญาด้านภาษาแลการสื่อสาร ภาษาเป็นสถาบันสังคมที่สำคัญยิ่งของทุกสังคม การที่คนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย และแม่ในสมัยก่อน มีไหวพริบ ปฏิภาณ ที่ใช้ภาษาพูดธรรมดาพื้นบ้านในชีวิตประจำวัน สื่อสารเป็นกลอนร้องกล่อมให้ลูกฟังด้วยภาษาที่ฟังดูเข้าใจง่าย ไม่มีคำศัพท์อะไร ยากเลย เป็นภูมิปัญญาที่สื่อด้านภาษาพูดร่วมกับภาษากายของแม่ที่ถ่ายทอดต่อลูกได้อย่างดี
๒. ภูมิปัญญาด้านการศึกษา บทกล่อมเปรียบเสมือนเป็นบทเรียน แม่เป็นครูคนแรกของเด็ก การถ่ายทอดร้องเห่กล่อมลูก ด้วยการนำเอาวิถีชีวิตทั้งสังคม ความเป็นอยู่ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบตัว ต้นไม้ สัตว์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี และคติธรรมคำสอน มาใส่ไว้เป็นเนื้อหาใช้กล่อมลูกให้พักผ่อน หลับนอนด้วยความสงบ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนที่ไม่ได้มีการศึกษาเล่าเรียน แต่สามารถแต่งบทกลอนได้คล้องจอง น่าฟัง แฝงไปด้วยความรู้รอบด้าน ทำให้เด็กได้รู้จักธรรมชาติตั้งแต่รู้ความ เมื่อโตขึ้นจะฉลาดรอบรู้ ก่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งต่างๆรอบตัวตั้งแต่ยังไม่เคยเห็น เมื่อเห็นก็จะรู้จัก และเข้าใจก็ให้เกิดความสนใจเรียนรู้ในสิ่งต่างๆได้ดี ส่งเสริมให้มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ตั้งแต่รู้ความ แสดงถึงภูมิปัญญาในการถ่ายทอดที่มาจากสถาบันครอบครัวที่ทรงคุณค่า
บทกล่อมเด็กพื้นบ้านมีกันทุกภูมิภาค มีความไพเราะของการร้องที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคนร้องในแต่และท้องถิ่นด้วย ดังเช่นลักษณะการร้องทางภาคกลางจะเรียบๆ ทำนองช้าฟังดูเย็นใจ ส่วนทางภาคเหนือและอีสานจะเป็นแบบโลดโผน และทางภาคใต้จะมีลีลาเร้าใจ เป็นต้น
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในปัจจุบัน มีผู้ที่ขับกล่อมได้เหลือน้อยเต็มที สอบถามหลายๆบ้านเรื่องการกล่อมลูกก็ได้ความว่า ถ้าบ้านใดมีคุณย่า คุณยายช่วยเลี้ยงก็จะยังได้ยินได้ฟังเพลงกล่อมแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง แต่เนื้อหาถ้อยคำก็มีผิดเพี้ยงกันไป อายุมากก็ลืมๆกันไปบ้าง ทั้งนี้เพราะไม่มีการถ่ายทอดและปลูกฝังให้เห็นคุณค่าที่ได้รับจากการกล่อมเด็กแบบดังเดิม ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ มรดกอันเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติไทย ที่เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพชนรุ่นปู่ ยา ตา ยาย และแม่ผู้มีพระคุณของเรานั่นเอง
แนวทางในการสืบทอดภูมิปัญญา
- เริ่มจากสถานศึกษาของรัฐ ควรนำบทเพลงกล่อมเด็ก ให้โรงเรียนอนุบาล หรือศูนย์เด็กเล็ก และสถานเลี้ยงเด็กอ่อน ใช้กล่อมเด็กนอน
- โรงพยาบาลของรัฐ รวมถึงขอความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน เปิดเทป แจกเนื้อร้อง
- ต้องมีการประชาสัมพันธ์ โดยสื่อต่างๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ของรัฐ กรมประชาสัมพันธ์ เปิดหลังข่าวทุกวันเป็นรายการเพื่อการอนุรักษ์และเสริมสร้างเอกลักษณ์วัฒนธรรมด้านวรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้าน เปิดเป็นประจำทุกวันสร้างความคุ้นเคย ร้องเล่นกันบ่อย ๆ ก็จะไม่ทำให้ถูกลืม
- เริ่มจากสถานศึกษาของรัฐ ควรนำบทเพลงกล่อมเด็ก ให้โรงเรียนอนุบาล หรือศูนย์เด็กเล็ก และสถานเลี้ยงเด็กอ่อน ใช้กล่อมเด็กนอน
- โรงพยาบาลของรัฐ รวมถึงขอความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน เปิดเทป แจกเนื้อร้อง
- ต้องมีการประชาสัมพันธ์ โดยสื่อต่างๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ของรัฐ กรมประชาสัมพันธ์ เปิดหลังข่าวทุกวันเป็นรายการเพื่อการอนุรักษ์และเสริมสร้างเอกลักษณ์วัฒนธรรมด้านวรรณกรรมเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้าน เปิดเป็นประจำทุกวันสร้างความคุ้นเคย ร้องเล่นกันบ่อย ๆ ก็จะไม่ทำให้ถูกลืม
*********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น